วัดทรัพย์สโมสรนิกรเกษม

Ponchagarj Ngamukos วัดมีถนนซอยพาดผ่าน มีตลาดนัดในบริเวณวัด ไปถึง 11.30 น ตลาดนัดยังไม่ตั้ง ภายในวัดไม่มีที่จอดรถ ซอยที่เข้ามาค่อนข้างแคบหน่อย รถสวนกันต้องชะลอ ภายในโบถ์ล็อคประตูไม่สามารถเข้าไปได้ ถวายสังฆทานเดินไปด้านหน้าติดถนนเป็นบริเวณกุฏิเจ้าอาวาส ด้านหน้ามีท้าวเวสสุวรรณให้สักการะ

Suporn Kulwatnantachai วัดโบราณขนาดใหญ่​พอควร​ เดิมชื่อว่าวัดพลา​หรือ​พารา​ บ้างก็ว่าชื่อ​หงษ์​ร่อน​ ไม่ทราบนามและประวัติ​ผู้สร้าง​ มีเรื่องเล่าว่า​ขณะ​กำลังสร้าง​วัด​มี​หงส์​ตัว​หนึ่ง​บิน​ร่อ​นมา​อยู่​เหนือ​บริเวณ​วัด​ และ​หน้า​อุโบสถ​หลัง​เก่า​มี​เสา​คู่​หนึ่ง​ด้านหน้า​ ​ยอด​เสา​เป็นรูป​หงส์​กางปีก​ ส่วน​ชื่อ​แจง​ร้อน​ บ้าง​ว่า​เพี้ยน​มาจาก​แจง​ร้อย​บ้าง​ แร้งร่อน​บ้าง​ ผมว่ามาจากแจงลอนที่เป็นอาหารพื้นบ้าน​แถบ​ชายทะเลซึ่งสอดคล้องรูป​ปู​ปล​าที่​ซุ้ม​หน้าต่างพระอุโบสถ​ สันนิษฐาน​ว่าสร้างวัดขึ้นอยุธยา​ตอนต้น​ วัดตั้งอยู่​ริม​แม่น้ำเจ้าพระยา​ บริเวณ​ปากคลองแจงร้อน​ สุดซอยราษฎร​์บูรณะ​ 37​ ซอยแคบทางโค้งบางช่วงรถสวน​ไม่ได้​ เมื่อเข้าวัดซ้ายมือ​จะเห็นพระวิหาร​ คล้ายแบบพระราชนิยมสมัย​รัชกา​ลที่​ 3​ อันที่จริงเป็นแบบวิลันดา​ ที่ได้รับอิทธิพล​จากศิลปะตะวันตก​ ซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยสมเด็จพระนารายณ์​ จุดเด่นคือไม่มี​ช่อฟ้า​ใบระกา​หางหงส์​ หน้าบันลายปูนปั้นมีกระหนกผักกาดแบบฝรั่ง​ มีรูปครุฑ​ยุดนาคเหนือเทพพนม​ หันหน้า​ไป​ทางทิศ​ตะวันออก​ มีเฉพาะประตู​หน้า​ไม่มีประตูหลังและหน้าต่าง​ ไม่มีเสา​ อาศัยกำแพงหนารับน้ำหนักเครื่องบน​ แบบสมัยอยุธยา​ตอนต้น​ มีพระประธาน​ 2 องค์​ชุดข้างหน้ามีหลวงพ่อหินแดง​ พระปางสมาธิหิน​ทรายแดงลงรักปิดทอง​ศิลปะอู่ทอง​ ถือเป็นพระพุทธ​รูป​เก่าแก่ที่สุดเท่าที่พบในกรุงเทพ ​มีอายุราว​ 600 ปี​ มีพระอัครสาวก​ยืน​ 2​ ข้าง​ ​ข้างหน้า​มีพระขนาดรอง​ 5 องค์​ 3 ตรงกลาง 3 องค์​เป็นพระพุทธ​รูปทรงเครื่อง ชุดข้างหลังมีพระพุทธ​รูปทรงเครื่องปางสมาธิ​องค์​ใหญ่​ สวมมงกุฎ​ทรงเทริด​เป็นพระประธาน​ มีพระขนาดรองเรียงล้อมรอบแบบสมัยอยุธยา​ตอนปลาย​ มีพระอัครสาวก​ยืน​ 2​ ข้าง​ ตั้งอยู่บนฐานชุกชีเดียวกันทั้ง 2 ชุด​ แต่ผมคาดว่าพระชุดหลังน่าจะสร้างขึ้นพร้อมกับการปฏิสังขรณ์​พระวิหารในสมัยสมเด็จนารายณ์​ ด้านหน้าพระวิหารเป็นพระอุโบสถ​ อาจเป็นพระอุโบสถ​หลังที่​ 4 หรือ​ 5 ที่ได้สร้างขึ้นมาบนที่เดียวกัน​ พระอุโบสถ​ปัจจุบัน​สร้างสมัยรัชกา​ลที่​ 6 โดยหลวงพ่อจวนเป็นผู้ดำริสร้างขึ้น เป็นแบบขนบเดิม​ มี​ช่อฟ้า​ใบระกา​หางหงส์​ หน้าบัน​มีรูป​ดอกพุดตาน​ หันหน้า​ไปทาง​ทิศ​ตะวันออก​สู่​แม่น้ำ​ เสาสี่เหลี่ยม​ หัวเสามีบัวแวง​ ประตู​และ​หน้าต่าง​มี​ซุ้ม​ปูนปั้น​ มีพระปางมารวิชัย​เป็น​พระประธาน​ ผนังด้านหลังมีภาพพระพุทธ​ฉาย​พร้อมพนะอัครสาวก​ยืน​ 2​ ข้าง​ ทั้งพระอุโบสถ​และพระวิหารจะเปิดเฉพาะวันพระ​ ใบเสมาอยู่ใน​ซุ้ม​จตุร​มุข​ยอด​เจดีย์​ 8​ ทิศ​ มี​เจดีย์​ย่อมุม​ไม้​สิบสอง​สีทองที่กำแพงแก้วทั้ง​ 4 มุม​ หน้าพระอุโบสถ​มีพระปางห้ามญาติอยู่กลางสวนป่าร่มรื่น​ เลยไปบริเวณศาลาท่าน้ำ​ยังมีป่าชายเลน​ ซึ่งหาดูได้ยากในกรุงเทพ​ เห็นวิวสะพานพระราม​ 9 คู่กับสะพานทศมราชชันอยู่ด้านหลัง​ เมื่อ​ 2 สัปดาห์​ก่อนผมได้มาไหว้พระ​ 9 วัด​แถบดาวคะนอง​ วันนี้ผมมาไหว้พระต่อแถบราษฎร์​บูรณะ​ เริ่มจากวัดสน​ ก่อนทะลุมาวัดแจงร้อน​ แล้วจะไปต่อวัดราษฎร์​บูรณะ​ครับ

Suporn Kulwatnantachai พระอาราม​หลวง​ขนาดใหญ่​พอควร​ เดิมชื่อวัดชีปะขาว​ สร้างโดยเจ้าพระยาโกษาธิบดี​ (ปาน)​ ในต้นสมัยสมเด็จพระเพทราชา​ กษัตริย์​สมัยอยุธยา​ตอนปลาย ในสมัยรัชกา​ล​ที่​ 1​ สมเด็จพระ​เจ้าพี่นาง​เธอ​ เจ้าฟ้า​กรม​พระศรี​สุดา​รักษ์​ ได้ทรงสถาปนาวัดขึ้นมาใหม่​ ต่อมารัชกา​ลที่​ 4​ โปรดให้ปฏิสังขรณ์​ ​และสร้างพระอุโบสถ​ใหม่แทนหลังเก่า​ พระราชทานนามว่าวัดศรีสุดาราม​ ยกขึ้นเป็นพระอารามหลวง​ วัดตั้งอยู่​ริม​คลอง​บางกอกน้อยฝั่งตะวันตก​ ท้ายซอยบาง​ขุน​นนท์​ 6 เข้ามาไม่ลึกขวามือจะเห็นพระอุโบสถ​อยู่​หลังกำแพงแก้ว​ เป็นแบบขนบเดิม​ มี​ช่อฟ้า​ใบระกา​หางหงส์​ หน้าบัน​มี​รูป​เทพ​พนม​ หันหน้าไปทิศตะวันออกสู่คลอง​ เสารองรับสี่เหลี่ยมไม่มีบัว​ ไม่ได้เปิดให้เข้า​ ข้างหน้าประตูมีพระบรมรูป​รัชกาลที่​ 4​ ประทับ มีใบเสมาอยู่ในซุ้มโค้งกูบยอดเจดีย์​ 8 ทิศ​ ด้านหน้า​มีพระวิหารแบบขนบเดิม​ ไม่มีช่อฟ้าแต่มีใบระกา​หางหงส์​ หน้าบันมีปูนปั้นรูปปิ่นบนพานสองชั้น​ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก​เช่นกัน สมเด็จพระ​มหาสมณเจ้า​ กรม​พระยาวชิร​ญาณ​วโรรส​ โปรดให้สร้างขึ้นแทนพระวิหารหลังเดิมที่รื้อถอนออกไป​ ไม่ได้เปิดให้เข้าเช่นกัน​ ด้านหน้าที่มุมข้างในกำแพงแก้ว​ 2 ข้าง​มีพระปรางค์​สีขาว​ มีซุ้มจรนำสี่ทิศ​ ฐานแปดเหลี่ยม​ มีใบเสมาหินทรายแดงทิ้งอยู่ในซอกฐานองค์​ทางซ้าย​ ด้านหลังมีพระเจดีย์​ย่อมุม​ไม้​สิบสอง​ 3 องค์​ ที่มุม 2 ข้างมีเจดีย์​ทรงลังกา​สีขาว ที่ริมน้ำหน้าพระอุโบสถ​มีศาลาติดหน้าต่างกระจกรอบ​ มีพระปางสมาธิ​ เลยเข้าไปทางซ้ายมีวิหารสมเด็จพระพุฒาจารย์​โตพรหมรังสี​ เป็นแบบขนบเดิม​ มี​ช่อฟ้า​ใบระกา​หางหงส์​ ด้านหน้ามีพาลัย​รองรับด้วยเสาสี่เหลี่ยมไม่มีบัวหันหน้าไปทางทิศตะวันออกสู่คลอง​ ไม่ได้เปิดให้เข้า​ ทางขวาพระอุโบสถ​มีพระราชานุสาว​รี​ย์​สมเด็จเจ้าฟ้า​กรมพระศรีสุดา​รักษ์​ วิหารพระศรีอริ​ย​์​ สมเด็จพระพุฒาจารย์​โตพรหม​รังสี​ องค์​ใหญ่​ ศาลาการเปรียญ​ และศาลาชีปะขาว​ เพื่อไม่ให้รีวิวยาวเกินไป​ ผมขอไปลงต่อที่พระราชานุสาว​รี​ย์​สมเด็จเจ้าฟ้า​กรมพระศรีสุดา​รักษ์​ เมื่อ​สัปดาห์​ก่อนผมได้มาไหว้พระ​9​วัดแถบบาง​ยี่ขัน​ วันนี้ผมมาไหว้พระต่อแถบบางขุนนนท์​ เริ่มจากวัดเจ้าอาม​ วัดภาวนาภิรตาราม​ วัดไชยทิศ​ และวัดบาง​ขุน​นนท์​ ก่อนมาวัดศรีสุดาราม​ แล้วจะไปต่อวัดใหม่ยายแป้นครับ

JTP P เจ้าหน้าที่แนะนำดี สถานที่ดีมาก

Natchanan Pornsukjantra ตกหลุมรักหมู่บ้านนี้ค่ะ ❤️❤️ บ้านออกแบบได้สวยมาก มีความน่ารักตะมุ๊ตะมิ๊ อบอุ่น ปลอดภัย สวนส่วนกลางใหญ่และร่มรื่น ถ้าได้ผ่านหน้าฝนสัก 1 ฝน ต้นไม้จะฟูเขียวชะอุ่มกว่านี้เลย ทำเลเดินทางสะดวกมาก ไปถ.บรมราชชนนี ถ.พระเทพตัดใหม่ ถ.เพชรเกษม ถ.กาญจนาภิเษก สะดวกมากค่ะ ไป Paseo ขับรถไปนิดเดียว ขากลับวนกลับได้เลยไม่ต้องไปอ้อมกลับรถ เป็นถ.พุทธมณฑลที่มีทางวงแหวนวนลงถ.บรมราชชนนีเพื่อเดินทางเข้าเมืองได้เลย ไม่ต้องไปอ้อมกลับรถเหมือนสาย 1 หรือสาย 3 หรือจะลัดไปเข้าถ.กาญจนาภิเษกก็มีทางลัดตั้ง 2 ทาง ส่วนตัวหลงรักถนนเกาะกลางสาย 2 มากค่ะต้นหูกระจงเขียงชะอุ่มเป็นแนวร่มรื่นสุดๆ ไม่แพ้ถ.อุทยานเลย จองเรียบร้อยแล้วค่ะ มาเป็นเพื่อนบ้านกันนะคะ ❤️❤️

Suporn Kulwatnantachai วัดเก่าแก่​ขนาด​ไม่​ใหญ่​ เดิมชาวบ้าน​เรียกว่าวัดสองพี่น้อง​ สันนิษฐาน​ว่ามีพี่น้องสองคนร่วมกัน​ สร้างวัดนี้ขึ้นสมัยอยุธยา​ตอนปลาย​ ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดสี่แยก​ เนื่องจากตั้งอยู่บริเวณที่คลองบางซื่อตัดกับคลองเปรม​ประชากร​ ยังมีอีกชื่อคือวัดสะพานสูง​ตามลักษณะของสะพานข้ามคลองบริเวณนี้​ รัชกาล​ที่​ 5 เคยเสด็จฯ​ มาที่วัดนี้​ มีพระราชดำรัสถามถึงชื่อวัด​ แล้วตรัสว่า​ วัดนี้มีสะพานสูงเป็นเครื่องหมาย​ ควรชื่อวัดสะพานสูง​ จึงเรียกว่าวัดสะพานสูงตั้งแต่บัดนั้น​ ต่อมาสมัยรัชกา​ลที่​ 8​ หลังจากสยามเปลี่ยนชื่อมาเป็นประเทศไทยแล้ว​ วัดได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นวัดธรรมาภิรตาราม​ วัดตั้งอยู่​ริมถนนเตชะวณิชหากมาจากถนนประชาราษฎร์​สาย​ 2 เลยแยกถนนพระราม​ที่ 6 วัดจะอยู่ซ้ายมือ​ เมื่อเข้าวัดจะเห็นวิหารหลวงพ่ออู่ทองอยู่ทางขวา เป็นแบบขนบเดิม​ มี​ช่อฟ้า​ใบระกา​หางหงส์​ หันหน้า​ไป​ทางทิศตะวันออก​ มีหลวงพ่อ​อู่ทอง​ พระปางสมาธิ​ศิลปะอู่ทอง​เป็นพระ​ประธาน​ มีพระอัครสาวก​ยืนสองข้าง​ พิงเสาก่ออิฐเอียงเข้าหากัน​ น่าจะเป็นเสาพระอุโบสถ​เก่า​ หน้าเสาทั้งสองมีพระยืนปางห้ามสมุทร​​ ข้างหน้ามีพระปางสมาธิและพระปางมารวิชัย​ขนาดรอง​ ปางละ​ 3 องค์​ ด้านหน้ามี​เจดีย์​ย่อมุม​ไม้​สิบสอง​สีขาวองค์​ใหญ่​ ถัดเข้าไปเป็นพระอุโบสถ​ใหม่​ เป็นแบบขนบเดิม​ มี​ช่อฟ้า​ใบระกา​หางหงส์​ หน้าบันมี​พระยืนปางลีลา​ หันหน้า​ไปทาง​ทิศตะวันออก​ ด้านหลังมีพระปางมารวิชัย​ ไม่ได้เปิดให้เข้า​ ใบเสมาอยู่ในซุ้มจตุร​มุข​ 8 ทิศ​ ทางขวามือมีประตูเดินผ่านตลาดไปออกถนนพระราม​ที่ 6 เมื่อเดือนก่อนผมได้มาไหว้พระเก้าวัดแถบคลองสามเสน​ วันนี้​ผมมาไหว้พระต่อแถบคลองบางซื่อ​ เริ่มจากวัดไผ่ตัน​ ก่อนมาวัดสะพานสูง​ แล้วจะไปต่อวัดประดู่​ครับ

Aya Pzli ปี2567 วัดจัดงานลอยกระทงปีแรก ชอบมากๆ จัดสวยมาก มีให้ทำบุญ และทำสังฆทานอีกด้วย มากันเยอะๆนะคะ

Arinrada Rukchobthum พระอัษฎามหาเจดีย์หรือพระปรางค์แปดองค์ ตั้งเรียงรายอยู่ด้านนอกพระอาราม   พระปรางค์  8  องค์ เส้นผ่าศูนย์กลาง  9.40  เมตร  ตั้งเรียงรายอยู่ทางทิศตะว้นออกด้านหน้าวัด  เดิมพระปรางค์ทั้ง  8 องค์จะตั้งเรียงกันอยู่นอกพระระเบียงเป็นแถวเดียวกัน  ต่อมารัชกาลที่  4  ทรงโปรดให้ขยายพระวิหารคดยื่นออกไปทางทิศตะวันออก  เพื่อสร้างซุ้มประตูมงกุฏ  และให้มีเกยอยู่  2  ด้าน   สำหรับเสด็จบนพระยานุมาศในพระราชพิธีการที่มีการเสด็จโดยทางสถลมารค  เมื่อขยายวิหารคดออกไปจึงทำให้พระปรางค์  8  องค์เข้ามาอยู่ในกำแพงวิหารคด  คือ  พระอริยะสงฆ์สาวกมหาเจดีย์  พระปรางค์สีชมพู  พระอริยสาวกภิกษุณีสังฆมหาเจดีย์  พระปรางค์สีเขียว  ลักษณะ ของปรางค์ คือ ฐานเป็นรูปแปดเหลี่ยม  ก่ออิฐฉาบปูน  องค์ปรางค์ตกแต่งด้วยลวดลายปูนปั้นประดับกระเบื้องเคลือบสี  มียักษ์ปูนปั้นแบกพระปรางค์ไว้โดยรวมทั้ง  4  ทิศ  นับเป็นศิลปะชั้นสูง  พระปรางค์ทั้ง  8  องค์สร้างขึ้นมาเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา  จึงมีชื่อเรียกเรียงตามาลำดับนับจากทิศเหนือลงมาทิศใต้  ดังนี้ ปรางค์องค์สีขาว                 ชื่อ  พระสัมมาสัมพุทธมหาเจดีย์           อุทิศถวายแด่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรางค์สีขาบหรือสีฟ้าหม่น  ชิ่อ  พระสัทธรรมปริยัติวรมหาเจดีย์       อุทิศถวายแด่พระธรรม ปรางค์สีชมพู                       ชื่อ  พระอริยสงฆ์สาวกมหาเจดีย์           อุทิศถวายแด่พระอริยสงฆ์ ปรางค์สีเขียว                      ชื่อ  พระอริยสาวิกาภิกษุสังฆมหาเจดีย์  อุทิศถวายแด่พระภิกษุณี ปรางค์สีเทา                        ชื่อ  พระปัจเจกโพธิสัมพุทธมหาเจดีย์    อุทิศถวายแด่พระพุทธเจ้าในอดีตชาติ ปรางค์สีฟ้าอมเทา               ชื่อ  พระบรมจักรวรรดิราชามหาเจดีย์    อุทิศถวายแด่พระมหากษัตริย์ ปรางค์สีแดง                        ชื่อ  พระโพธิสัตว์กฤษฎามหาเจดีย์        อุทิศถวายแด่พระโพธิสัตว์ ปรางค์สีเหลือง                    ชื่อ  พระศรีอริยเมตตะมหาเจดีย์             อุทิศถวายแด่พระพุทธเจ้าในอนาคต

Suphakorn Panyangam พระพุทธรูปที่โบสถ์สวยงาม เป็นวัดที่พระยาสุเรนทร์สร้าง มีรูปหล่อของท่านด้วยและมีหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ แวะมาทำบุญกันได้นะครับ ไปมาวันที่ 26/1/68 ส่วนประวัติท่านพระยาสุเรนทร์ก็ตามนี้ครับ ประวัติพระยาสุเรนทร์ พันตรีพระยาสุเรนทร์ราชเสนา (พึ่ง สิงห์เสนี) เป็นบุตรของท่านเจ้าพระยามุขมนตรี (เกด สิงหเสนี) มารดาชื่อ นางนาค กัลาณสุต มีพี่น้องทั้งหมด ๑๒ คน ท่านพระยาสุเรนทร์เป็นบุตรคนที่ ๘ พันตรีพระยาสุเรนทร์ราชเสนา ภรรยาชื่อ ท่านคุณหญิงสุเรนทร์ ราชเสนา (บุญมี สิงหเสนี) รับราชการทหารสืบทอดความเป็นนักรบ ผู้กล้าหาญ จากบรรพบุรุษสืบต่อจากผู้เป็นปู่ เจ้าพระยาบดินทร์เดชา(สิงห์ สิงหเสนี) สมุหนายก คู่พระทัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยถวายตัวเป็นมหาดเล็กกรมพระราชวังบวรไชยชาญ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความวิริยะ อุตสาหะ จนได้รับรับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ โปรดกระหม่อมได้ดำรง ตำแหน่งตามลำดับดังต่อไปนี้ - เมื่ออายุได้ ๑๕ ปี ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ - เมื่ออายุได้ ๑๗ ปี กรมพระราชวังบวรฯโปรดเกล้าฯ ให้เป็นหลวงจำนงบริรักษ์ในกรมมหาดเล็ก - เมื่ออายุได้ ๑๙ ปี กรมพระราชวังบวรฯโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระยาโยธาธิราชครั้งกรมพระยาบวรฯทิวงคตแล้ว ข้าราชการฝ่ายพระราชวังบวรฯลงมาสมทบในพระบรมมหาราชวังพระบาทสมเด็จจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงโปรดเกล้าให้เป็นพระยาสุเรนทร์ราชเสนา ได้เป็นพระยาเมื่ออายุ ๓๐ ปี แล้วภายหลังพระยาสุเรนทร์ได้รับสัญญาบัตรเป็นนายพันตรีในกรมยุทธนาธิการทหารบก พันตรีพระยาสุเรนทร์ราชเสนา มิได้สืบทอดแต่ความเป็นนักรบจากต้นตระกูลสิงหเสนีเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้สืบทอดความจงรักภักดี แด่พระมหากษัตริย์และสืบทอดพระพุทธศาสนาด้วย โดยเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๔๒๕ ท่านได้สร้าง วัดพระยาสุเรนทร์ หรือ วัดบึงพระยาสุเรนทร์ บนเนื้อที่ของตนเองที่แขวงมีนบุรี (เขตคลองสามวาปัจจุบัน) เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้บรรพชาเป็นสามเณรด้วยศรัทธาอันแน่วแน่ จนกระทั่งมรณภาพ ในปี พ.ศ. ๒๔๔๙ ด้วยโรคชรา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ โปรดกระหม่อม ให้เจ้าพนักงานส่งหีบเพลิง พระราชทานเพลิงศพอันเป็นเกียรติยศยิ่งแก่ พันตรีพระยาสุเรนทร์ราชเสนาและวงศ์ตระกูลสืบมาในวันที่ ๒๖ ตุลาคม รัตนโกสินทร์ ศก ๑๒๙ ปลัดทูลฉลองกรมมหาดไทยฝ่ายพระราชวังบวรฯ ที่แขวงเมืองมีนบุรีพระราชทานเงิน ๑,๐๐๐ สตางค์ ผ้าขาว ๒ พับ การก่อสร้างวัด ได้ก่อตั้งวัดพระยาสุเรนทร์ขึ้นเมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๕ ตรงกับวันอังคาร ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๖ ร.ศ ๑๐๑ โดยทำพิธีวางศิลาฤกษ์ ประจำวัดขึ้น เมื่อสร้างเสร็จแล้ว จึงได้ทำหนังสือกราบบังคมทูลถวายเป็นพระราชกุศล แด่สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕ ) และได้พระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อวันพุธ แรม ๙ ค่ำ เดือน ๑๑พ.ศ.๒๔๓๑