วัดหนัง ราชวรวิหาร

5 /5 Suporn Kulwatnantachai: พระอาราม​หลวงโบราณ​ขนาดใหญ่​ มีนามว่าวัดหนังมาแต่เดิม​ ไม่ทราบประวัติและผู้สร้าง​ สร้าง​ขึ้นสมัยอยุธยา​ตอนปลาย​ เป็นวัดร้างมา​กว่า​ 200 ปีแล้ว​ ต่อมาสมัยรัชกาลที่​ 2 ได้รับการสถาปนาเป็นพระอารามหลวง เมื่อรัชกาลที่​ 3​ ครองราชย์​ ทรงพระกรุณา​โปรดเกล้า​ฯ​ ให้ทำการฉลองวัดหนัง​ วัดตั้งอยู่​ริมคลองสนามชัยฝั่งตะวันตก​ ในซอยวุฒากา​ศ​ 42​ เมื่อข้ามคลองจะเห็นวัดอยู่ทางขวา​มือ​ มีเจดีย์​ย่อมุม​ไม้​ยี่สิบสีขาวคู่หนึ่ง​ ตั้งอยู่​นอกกำแพงแก้วหน้าพระอุโบสถ​ ​และพระวิหาร พระอุโบสถ​เป็นแบบขนบเดิม​ มี​ช่อฟ้า​ใบระกา​หางหงส์​ หน้าบันลายดอกพุดตาน​ หันหน้า​ไปทิศ​ตะวันออก​สู่​คลอง​ มีระเบียงรอบ​ เสา​สี่เหลี่ยม หัว​เสา​ไม่มี​บัว​ ประตู​และ​หน้าต่าง​มี​ซุ้ม​ปูนปั้น​ มี​พระพุทธ​ประติมากร​ พระปาง​มารวิชัย​เป็น​พระประธาน​ ข้างหน้ามี​พระ​สาวกนั่ง​ 5 องค์​ ใบเสมาอยู่ใน​ซุ้มสี่เหลี่ยม​เจาะช่องโค้ง 8 ทิศ​ ระหว่างพระอุโบสถ​กับพระวิหารมีเจดีย์​ปรางค์​ประธาน​ ฐานย่อมุมไม้ยี่สิบสีขาว​ พระวิหารเป็นพระอุโบสถหลัง​เดิม​ เป็นแบบเดียวกับพระอุโบสถ​ แต่​มี​ขนาดเล็กกว่า​ มุขหน้ามีพระปาง​มารวิชัยขนาดไม่ใหญ่​ ​เป็น​พระประธาน​ ข้างซ้ายมีพระปางสมาธิ​ ข้างขวามีพระปาง​มารวิชัย​ขนาดรอง​ ผนังข้างหลังก่ออิฐโปร่งลายจีน​ มีประตูเข้า​ไปมุขข้างหลัง​ มีพระเจ้าห้าพระองค์​ มี​พระ​ปาง​มารวิชัย​เป็น​พระประธาน​ ข้างหน้า​มีพระปาง​มารวิชัย​ขนาดรอง​ 5 องค์​ มีพระ​อัครสาวก​นั่ง​ 2​ ข้าง​ ตั้งอยู่​บนฐานชุกชีเดียวกัน​ แบบสมัยอยุธยา​ ด้านซ้ายนอกกำแพงแก้วมีหอพระไตร​ เป็นแบบเดียวกับพระอุโบสถ​ แต่มีขนาดเล็กและไม่มีช่อฟ้า​ใบระกา​หางหงส์​ ด้านขวานอกกำแพงแก้วมีวิหารพระภาวนาโกศลเถร​ (หลวงปู่เอี่ยม)​ เพื่อไม่ให้รีวิวยาวเกินไป​ ผมขอแยกลงที่วิหารหลวงปู่เอี่ยม​ เมื่อสัป​ดาห์ก่อนผมได้มาไหว้พระ​ 9 วัดแถบราษฎร์​บูรณะ​ วันนี้เป็นช่วงตรุษจีน​ผมมาไหว้พระต่อแถบจอมทอง​ เริ่มจากวัดบางขุนเทียนใน​ วัดบางขุนเทียนนอก​ วัดบางขุนเทียนกลาง​ วัดบางประทุนนอก​ วัดแก้วไพฑูรย์​ วัดราชโอรสาราม​ และวัดศาลาครืน​ ก่อนมาวัดหนัง​ แล้วจะข้ามไปวัดนางนองครับ

5 /5 Ph031: มีโอกาสมากราบไหว้ขอพรหลวงปู่เอี่ยม ขอความเจริญรุ่งเรือง เป็นสิริมงคลกับชีวิตตัวเองและครอบครัว

5 /5 kosamer kosanlawat: เสร็จจากวัดราชโอรสฯ เราก็เดินข้ามคลอง ลัดเลาะไปตามซอยอีกไม่ไกลก็ถึง วัดหนัง ราชวรวิหาร เป็นวัดโบราณเก่าแก่ริมคลองด่าน สร้างขึ้นช่วงปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา แวะไปชมพิพิธภัณฑ์เพื่อการศึกษาในวัด ในพิพิธภัณฑ์จะเก็บของมีค่าเก่าแก่ของวัด

5 /5 Suphakorn Panyangam: รีวิวย้อนหลัง เคยมาทำบุญวัดนี้ ศรัทธาหลวงปู่เอี่ยมครับ ส่วนประวัติก็ตามนี้ครับ วัดหนัง เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดราชวรวิหาร สร้างขึ้นประมาณปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา ไม่ปรากฏผู้สร้าง วัดนี้เป็นวัดโบราณ เป็นวัดร้างมากว่า 200 ปีแล้ว ตั้งอยู่ ณ ฝั่งขวาหรือนัยหนึ่ง ฝั่งเหนือคลองด่าน แขวงบางค้อ เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร เลขประจำวัด 200 เดิมเป็นวัดราษฎร์ มีสืบมาแต่โบราณ มีนามว่าวัดหนังมาแต่เดิม และได้รับการสถาปนาเป็นพระอารามหลวงเมื่อปี พ.ศ. 2460 เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบต่อจากพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อปี พ.ศ. 2367 ในสมัยของพระองค์ท่าน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้ทำการฉลองวัดหนัง ณ วันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2380 นั่นเอง การเริ่มสถาปนาคงอยู่ในระหว่าง พ.ศ. 2367 ถึง พ.ศ. 2378 และปรากฏเจ้าอาวาสมาจนถึงปัจจุบันถึง 9 พระองค์ และเจ้าอาวาสรูปปัจจุบันคือ พระราชวชิรรังษี (ขวัญชัย นิติสาโร) เริ่มดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 สืบต่อจากพระธรรมศีลาจารย์ (สุกรี สุตาคโม) เจ้าอาวาส ผู้ปกครองดูแลวัดตั้งแต่ดั่งเดิมมานั้นไม่ปรากฏหลักฐานบันทึกไว้ หรืออาจจะชำรุดเสียหายไปตามกาลเริ่มปรากฏมีหลักฐานเมื่อได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระอารามหลวงในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ดังนี้ รูปที่ ๑ พระนิโรธรังสี รูปที่ ๒ พระโพธิ์วงศาจารย์ (ขาว) รูปที่ ๓ พระราชกวี (มุ้ย) รูปที่ ๔ พระครูสังวรยุตตินทรีย์ (ทอง) รูปที่ ๕ พระภาวนาโกศลเถร (เอี่ยม สุวณฺณสโร) รูปที่ ๖ พระวิเชียรกวี (ฉัตร อินฺทสุวณฺโณ) รูปที่ ๗ พระสุนทรศีลสมาจาร (ผล คุตฺตจิตฺโต) รูปที่ ๘ พระธรรมศีลาจารย์ (สุกรี สุตาคโม) รูปที่ ๙ พระราชวชิรรังษี (ขวัญชัย นิติสาโร) หลวงปู่เอี่ยม พื้นที่ถิ่นเกิด กำเนิดเป็นชาวบางขุนเทียน ริมคลองบางหว้า ท่านเกิดเมื่อ วันศุกร์ เดือน 11 ขึ้น 8 ค่ำ จุลศักราช 1149 ปีมะโรง จัตวาศก ตรงกับวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2375 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นบุตรของ นายทอง และ นางอู่ ครอบครัวประกอบอาชีพทำสวน ตระกูล หลวงปู่เอี่ยม แต่เดิม มีนามสกุลว่า ทองอู่ แต่ไปคล้ายกับพระนามเจ้าต่างกรมพระองค์หนึ่ง เมื่อครั้งรัชกาลที่ 6 พระราชทานนามสกุล จึงได้เปลี่ยนเป็น ทองอู๋ และใช้สืบมาจนปัจจุบัน ในวัยเด็ก โยมพ่อโยมแม่ของท่านได้นำท่านมาฝากมาเรียนหนังสือที่สำนัก หลวงปู่รอด อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดหนัง อายุ 11 ปี ได้เริ่มศึกษาพระปริยัติธรรม และต่อมาได้ย้ายมาอยู่ที่วัดเลียบ ต่อมาในปี พ.ศ. 2387 เมื่อท่านมีอายุครบ 22 ปี ได้เข้าอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดราชโอรสาราม หรือ วัดจอมทอง ฉายา “สุวณฺณสโร” มีพระสุธรรมเทพเถระ (เกิด) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระธรรมเจดีย์ (จีน) กับพระภาวนาโกศลเถร (รอด) เป็นคู่กรรมวาจาจารย์ เมื่ออุปสมบทแล้ว หลวงปู่เอี่ยมได้ย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่วัดนางนอง ท่านก็ได้เจริญรอยตามหลวงปู่รอด วัดโคนอน มาตลอดเวลา และได้ศึกษาวิปัสสนากรรมธุระ ท่านอยู่รับใช้หลวงปู่รอดจนมรณภาพ จึงได้รับนิมนต์จากชาวบ้าน มาเป็นเจ้าอาวาสวัดหนัง เนื่องจากในขณะนั้น วัดหนังไม่มีผู้ดูแล ท่านจึงได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นพระครูศีลคุณธราจารย์ ไปอยู่วัดหนัง มีนิตยภัตราคาเดือนละ 2 ตำลึง ต่อมาวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2442 จึงได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเลื่อนเป็นพระภาวนาโกศลเถร ที่พระราชาคณะ มีนิตยภัตราคาเดือนละ 3 ตำลึง ชื่อเสียงของหลวงปู่เอี่ยม ได้เป็นที่พูดถึงมาจนปัจจุบันนั้น มาจากเหตุการณ์ ขณะที่รัชกาลที่ 5 ต้องเสด็จประพาสยุโรป จึงได้มาปรึกษาหลวงปู่เอี่ยม ท่านก็ได้ทำนายไว้ว่าพระองค์ท่านจะบรรลุผลสำเร็จพระบรมราโชบายทุกประการ แต่จะต้องประสบกับสัตว์ที่ดุร้ายในยุโรป และท่านจะต้องทรงขี่มัน หลวงปู่ท่านได้มอบ พระคาถาเสกหญ้าให้ม้ากิน และมอบยันต์มงกุฎพระพุทธเจ้าให้กับพระพุทธเจ้าหลวง และจะปกป้องคุ้มครองพระองค์ท่านให้ทรงปลอดภัย และคาถาดังกล่าวก็คือคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า และสุดท้ายฝ่ายฝรั่งก็ยอมศิโรราบในที่สุด เพราะรัชกาลที่ 5 ทรงเสกหญ้าให้ม้ากิน และบังคับม้าตัวนั้นได้ หลวงปู่เอี่ยมถึงแก่มรณภาพด้วยโรคชราเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2469 สิริอายุ 93 ปี 71 พรรษา ครองวัดหนังนานถึง 27 ปี