4 /5 สุวภัทร ชํานาญวนกิจ: ความเป็นมา: ในสมัยอยุธยา เดิมชื่อวัดท้ายตลาด ริมคลองตรงมุมของปากน้ำของคลองบางกอกใหญ่ ช่วงสมเด็จพระเจ้าตากสิน สร้างวัง ได้รวมพื้นที่วัดนี้และวัดอรุณเข้าเป็น เขตพระราชฐาน ตลอด15ปีจึง ไม่มีพระภิกษุสงฆ์จำพรรษา
วิหารฉางเกลือ เป็นโบราณสถานดั่งเดิมของวัด พระเจ้าตากสินเคยใช้เก็บเกลือใช้เป็นยุทธปัจจัย
พระเจ้าตากสินใช้วัดนี้ในการทำกรรมฐาน,ใช้โบสถ์น้อยวัดอรุณเป็นที่สวดมนต์ ในสมัยรัตนโกสินทร์ หลังจากแยกวัดออกจากพระราชวังเดิม มีการให้การศึกษาแก่พระราชโอรสของร.2 โดยมีเจ้าอาวาสองค์ที่สอง(สมเด็จขุน)เป็นพระอาจารย์ ผู้ที่เก่งทุกศาสตร์ โดยเฉพาะศาสตร์ที่จำเป็นต่อลูกกษัตริย์ (ได้รับความไว้วางใจ)
ต่อมาสมัย ร.3 โดยเจ้าอาวาสองค์ที่สาม(สมเด็จฉิม) พระผู้เป็นนักปราชญ์อันดับหนึ่งของไทยสมัยนั้น ได้เปรียญ9ประโยค มีความรู้บาลีแตกฉาน เปิดวัดเป็นสำนักเรียน/โรงเรียนสอนบาลี มีชื่อเสียงตั้งแต่นั้นมา ปัจจุบันหลังจากมีโครงการเล่าเรียนหลวง วัดนี้มีจำนวนผู้สอบได้เป็นอันดับหนึ่ง มีชื่อเสียงมากในเรื่องนี้ มีพระมาเรียนที่นี่จำนวนมาก
# ได้นำพระเมาลี(ผม) ของ ร.3,ร.4 ตอนทำพิธีโสกันต์มาบรรจุในเจดีย์ที่วัด เป็นเหตุผลหนึ่งในการเปลี่ยนชื่อวัดเป็น โมลีโลกยาราม
# อุโบสถ์ เด่นที่หมู่พระพุทธรูปทรงเครื่อง และลวดลายทรงพุ่มข้าวบิณฑ์พื้นสีดำ ด้านหลังมีพระพุทธรูปอีกองค์ กำลังบูรณะ
# หอพระไตรปิฎก สีเขียว สวยงาม ชมภายนอกเพราะปิดไว้
ทางวัดมีนโยบายอนุรักษ์ของเก่า แต่ขณะเดียวกัน ก็เน้นเอาดีในการเป็นโรงเรียนที่ดี ปัญหาคือ เกิดความแออัดของพระที่มาเรียน ทั้งที่พักและห้องเรียน เรียกได้ว่า ทุกที่ในวัดเป็นที่เรียนและที่นอนได้หมด หลายจุดที่ไปชมนึกว่าสร้างให้ชม แต่กลับเป็นที่พักสงฆ์และที่เรียน มีความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย(น่าจะทำความสะอาดให้ดี)
ความเห็นส่วนตัว น่าจะหาปัจจัยซื้อที่สร้างอาคารพักสงฆ์เป็นตึกรองรับ มีรถรับส่งมาเรียน ทำนองนี้
อนึ่งประโยชน์การสอนด้านนี้ มีมาก
ทำให้เข้าใจหลักธรรมะ ซาบซึ้ง มีความแม่น,ตรงในคำสอน สามารถตัดสินชี้แจงชี้แนะ กรณีมีการบิดเบือนคำสอนได้ เป็นการทำปริยัติให้ถูกต้อง สุดท้ายปฏิบัติและปฏิเวธ ก็ถูกต้องตาม