วัดหทัยนเรศวร์

Suphakorn Panyangam รีวิวย้อนหลัง เคยมากราบสรีระสังขารหลวงปู่ผลและอัฐิธาตุของหลวงปู่แสวง มีรูปหล่อของท่านให้ติดทองด้วยนะครับ มีรูปหล่อพระพากุละ พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลท่านเป็นผู้เลิศในการอาพาธน้อย เพราะในอดีตชาติเคยถวายยาพระสงฆ์ สร้างโรงพยาบาล สร้างส้วม ท่านจึงมีอายุถึง 160 ปี ผมเคยมาทำสังฆทานด้วย มีท่าน้ำสามารถซื้ออาหารให้ปลาได้ด้วยนะครับ วัดนี้คนเมียนมาร์ชอบเข้ามาทำบุญ ส่วนประวัติก็ตามนี้ครับ วัดเทียนดัด เล่ากันว่าสร้างขึ้นสมัยกรุงธนบุรี เมื่อปี พ.ศ.2312 ภายหลังกรุงศรีอยุธยาแตก แล้วหมู่พระสงฆ์ได้หนีพวกพม่ามาพักในบริเวณนี้ ชาวบ้านจึงได้สร้างวัดเพื่อให้พระสงฆ์ ได้อยู่จำพรรษา วัดนี้แต่เดิมนั้นมีต้นเกดขึ้นอยู่เป็นจำนวนมากจึงได้ชื่อว่า “วัดดงเกด” แล้วเปลี่ยนมาเป็น “วัดกระแชงดาด” วัดเชิงดาดคงคาวน และ “วัดเชิงดาดคงคาวล” ต่อมาเมื่อครั้งที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส เสด็จผ่าน และแวะเยี่ยมที่วัดแห่งนี้ ท่านได้ตั้งนามของวัดให้ใหม่ว่า “วัดเทียนดัด”หลักฐานเก่าแก่ของวัดที่ยังคงเหลืออยู่บ้าง ได้แก่อุโบสถหลังเก่า สร้างหันหน้าไปทางแม่น้ำ ด้านหน้ามีพาไลหรือหลังคาคลุมทอดลงมา ใบเสมาตรงเอวทำเป็นลวดลายก้านขดสลับไปคล้ายกับใบเสมาที่วัดหอมเกร็ด ในอดีตวัดแห่งนี้มีพระเถรซึ่งมีชื่อเสียงมาก ได้แก่ พระครูปลัดผัน ติสฺสวณฺโณ อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ 4 และพระครูอาทรพิทยคุณ (ผล ธมฺมโชติ) อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ 5 องค์สุดท้ายได้แก่ พระครูมนูญ กิจจานุวัตร (แสวง ธมฺรโส) อดีตเจ้าอาวาสรูปที่ 6 ดังนั้น วัดเทียนดัดในทุกวันนี้จึงได้มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วและมีสิ่งก่อสร้างขึ้นอีกมากมาย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลักฐานในอดีตหลงเหลืออยู่น้อยมาก จนบางครั้งทำให้ดูเหมือนกับว่าวัดแห่งนี้เป็นวัดสร้างขึ้นใหม่ในปัจจุบัน หลักฐานเหล่านี้ได้บันทึกไว้ในหนังสือทางประวัติศาสตร์ชื่อ วัฒนธรรมสามพราน วัดเทียนดัด ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา พ.ศ.2480 หลวงปู่ผล วัดเทียนดัด เกจิผู้ปลุกศรัทธาท่ามกลางชาวคริสต์ จากประวัติของท่านที่บันทึกไว้ใน"หนังสือ อนุสรณ์ 101 ปี หลวงพ่อผล วัดเทียนดัด" ท่านเกิดในตระกูล"แสงโสภา"ที่บ้านต.ท่าข้าม อ.สามพราน จ.นครปฐม ตรงกับวันเสาร์ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 12 ปีพ.ศ.2433 (ปีขาล ปีเดียวกับหลวงพ่อเงิน) เป็นบุตรของนายใหญ่ ชาวอยุธยา และนางทองสุข ชาวนครปฐม ครอบครัวประกอบอาชีพทำนา มีพี่น้องรวม 10 คน เป็นผู้ชาย 3 คน และผู้หญิง 7 คนคือ 1. นางใย 2. นางยวง 3. นางพวง 4. นายพัน 5. นางเป๋า 6. นางอิน 7. นางแดง 8. นางวิน 9. นายผัน แสงโสภา (หลวงปู่ปลัดผัน) 10. นายผล (หลวงปู่ผล) เยาว์วัยพออ่านเขียนหนังสือได้ เมื่ออายุครบเกณฑ์ก็ไปเป็นทหาร หลังปลดประจำการแล้วไดัอุปสมบทที่วัดเทียนดัด โดยมีพระอธิการแสง วัดนางสาว เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการคง วัดนางสาว เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระปลัดใจ วัดเชิงเลน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้ฉายาว่า"ธัมมโชติ" ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดเทียนดัด ต่อมาได้ไปศึกษาพระธรรมวินัยที่วัดมหาธาตุ โดยอาศัยพำนักอยู่ที่วัดระฆังโฆสิตาราม ธนบุรี เมื่อสอบได้นักธรรมขั้นตรีแล้วก็ได้มาเป็นครูสอนปริยัติธรรมที่วัดเทียนดัด และวัดต่างๆหลายวัด เพราะสมัยนั้นหาครูผู้สอนยากมาก โดยได้ไปๆมาๆที่วัดระฆังเสมอ เพราะต้องการเรียนวิชาต่างๆ โดยเฉพาะการเรียนวิปัสสนากรรมฐานที่ท่านสนใจอย่างมากและท่านมีความรู้ด้านนี้พอสมควร ยิ่งไปกว่านั้นท่านยังได้เรียนวิชาถ่ายภาพ วิชาเขียนภาพ วิชาเครื่องยนต์ ตลอดจนวิชาไสยศาสตร์เวทมนต์ คาถาจากอาจารย์ต่างๆ แล้วได้นำหลักการทำพระสมเด็จของสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) วัดระฆังมาทำเป็นครั้งแรกช่วงปี พ.ศ.2471-2472 กับพระปลัดผัน พระพี่ชายของท่าน หลวงปู่ผลมีอุปนิสัยใจคอเยือกเย็น มีเมตตาธรรมแก่คนทั่วไป ท่านยังเป็นที่คุ้นเคยและเคารพนับถือของพระผู้ใหญ่หลายรูป นอกจากมีวิชาอาคมขลังแล้ว ท่านยังเป็นพระนักพัฒนาที่ตั้งใจบริหารวัดจนเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด มีอาคาร กุฏิ ศาลาบำเพ็ญกุศล เมรุ ถังน้ำบาดาลคอนกรีต ห้องสมุด โรงเรียนปริยัติธรรม อีกทั้งซ่อมอุโบสถและศาลาการเปรียญที่ชำรุดทรุดโทรม ศาลาเอนกประสงค์ ที่สำคัญ ท่านชอบบริจาคทรัพย์ช่วยเหลือคนยากจน และผู้ประสบภัยต่างๆ เช่น ไฟไหม้ น้ำท่วมที่ไหน ท่านก็บริจาคเงินช่วยเหลือทันที ท่านก็มรณภาพลงเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 ม.ค. 2532 เวลา 04.00 น ที่โรงพยาบาลบางไผ่ กรุงเทพฯ สิริอายุ 99 ปี ทางวัดจัดพิธีบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมที่ศาลาการเปรียญเป็นเวลา 100 คืน ได้รับเงินจากผู้บริจาค 500,000 บาทเศษ (คณะกรรมการได้นำเงินสร้างพุทธเจดีย์ศรีปฐมบรมธาตุ 200,000 บาท เพื่ออุทิศถวายให้ท่าน มีเหตุการณ์อัศจรรย์คือ หลังจากหลวงปู่ผลมรณภาพไปแค่ไม่กี่วัน เต่าที่ท่านได้สลักชื่อและปล่อยไปนานแล้วได้คลานกลับขึ้นมาจากน้ำมาอยู่บริเวณโลงที่บรรจุสังขารของท่านประมาณ 15 วันก่อนจะคลานกลับลงน้ำไปตามเดิม ประหนึ่งว่ามันมาเคารพสักการะสังขารหลวงปู่ผล

Panida Tabwatee วัดญาณเวศกวัน สามารถเข้าได้ 2 ทาง จากทางถนนพุทธมณฑลสาย 4 และ พุทธมณฑลสาย 5 มีลานจอดรถในวัด 1 ลาน และลานจอดรถด้านนอกอีกประมาณ 3 ลาน มีเจ้าหน้าที่คอยให้บริการ ภายในวัดประกอบไปด้วย หอฉัน โบสถ์สำหรับทำพิธี และ ห้องสมุด ในห้องสมุดสามารถขอหนังสือกับเจ้าหน้าที่เพื่อนำกลับไปอ่านที่บ้านได้ และมีแบบไฟล์เสียงด้วย ห้องสมุดมีที่นั่งสำหรับนั่งอ่านหนังสือได้ด้วย สำหรับการถวายภัตตาหาร มีรอบถวายภัตตาหาร 2 รอบ คือ เวลา 7.00 น. และ 11.00 น. ใน 2 รอบนี้ สามารถถวายสังฆทานได้ด้วย สามารถนำอาหารมาจัดใส่จานได้เลย เพื่อเตรียมถวายพระ โดยทางวัดจะจัดโต๊ะสำหรับวางอาหารและ ถ้วย จาน ชาม สำหรับใส่อาหารไว้ให้ และมีแร็ปสำหรับคลุมอาหารด้วย หลังจากเสร็จพิธี หลังพระฉันอาหารเสร็จ ผู้ที่มามำบุญสามารถรับประทานอาหารร่วมกันได้เลย ส่วนรอบที่ถวายสังฆทาน คร่าวๆ จะมีรอบ 9.00 น. และ 10.00 น. หรือ อาจจะมีรอบมากกว่านั้น (เมื่อมีผู้มาทำบุญมาก) แล้วแต่ท่านพระอาจารย์ สำหรับผู้ที่มาถวายสังฆทาน เมื่อมาถึง สามารถเดินไปหยิบใบคำกล่าวและที่กรวดน้ำได้ จะมีจุดบริการอยู่ทางด้านหลัง ใกล้ๆห้องสมุด หากท่านใดอยากถวายปัจจัย พระอาจารย์ท่านจะไม่ได้รับปัจจัยโดยตรง สามารถนำปัจจัย ไปใส่ซองพร้อมเขียนชื่อที่อยู่ หยอดลงตู้ได้ ใบอนุโมทนาบุญก็จะส่งไปให้ที่บ้าน เมื่อพระอาจารย์มาแล้ว พระอาจารย์จะให้กล่าวคำอาราธนาศีลพร้อมกันใต้แถบสีส้ม (ดูได้จากใบคำกล่าว) มะยังภันเต… โดยกล่าวพร้อมกันเสียงดัง ให้พระอาจารย์ได้ยินด้วย จากนั้นพระอาจารบ์จะกล่าว นโมตัสสะ 3 จบ ให้เรากล่าวตามไปเรื่อยๆ และกล่าวคำถวายสังฆทาน จะมี 2 แบบ สำหรับทำบุญทั่วไป คำกล่าวจะอยู่ใต้แถบสีเขียว สำหรับอุทิศบุญให้กับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว คำกล่าวจะอยู่ใต้แถบสีม่วง จากนั้นจะท่อง นโมตัสสะ 3 ครั้งพร้อมกัน และค่อยกล่าวคำถวายสังฆทาน เมื่อกล่าวเสร็จก็ไปถวายของที่เราเตรียมมา และพระอาจารย์ท่านจะแสดงธรรม และกล่าวคำอุทิศส่วนกุศลในลำดับถัดไป จากนั้นก็นำที่กรวดน้ำไปรดน้ำใต้ต้นไม้ และนำที่กรวดน้ำกับใบคำกล่าวไปเก็บที่จุดวาง เป็นอันเสร็จพิธี สำหรับท่านที่อยากเข้าไปกราบพระ ที่โบสถ์ เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 7.30 น. - 15.30 น. และสามารถนั่งสมาธิได้ ในโบสถ์มีอาสนะสำหรับนั่งสมาธิด้วย ในวัดมีห้องน้ำให้บริการสะอาดสะอ้าน และมีบริการน้ำดื่มฟรี

Supoj Puengsiripaiboon วัดแห่งนี้เป็นวัดของชาวมอญ พม่า ลักษณะโดยทั่วไปเป็นศิลปะแบบมอญอย่างชัดเจน ขณะนี้ทางวัดกำลังมีการปรับปรุงพื้นที่และอาคารศาสนสถานบางส่วน วัดสามารถเข้าได้ทั้งฝั่งพุทธมณฑลสาย 4 และทาง 5

เพ็ญณัฐญา ภัทธ์ธนโชตน์กุล ที่จอดรถสะดวกสบาย มีเจ้าหน้าที่แนะนำประวัติ จุดไหว้ต่างๆ ดีมากๆ อัธยาศัยดี บรรยากาศดี

pp rodmay •บรรยากาศดี ต้นไม้เยอะมาก และกว้างมากๆ •มีเส้นทางให้วิ่งออกกำลังกาย และเส้นทางปั่นจักรยาน วิวดี ปั่นไม่เบื่อ •ที่จอดรถค่อนข้างเยอะ •มีร้านขายอาหาร เครื่องดื่ม บริการด้านใน

Saran Raksaphan วัดพระปฐมเจดีย์ราชวรมหาวิหาร เป็นวัดสำคัญของประเทศไทย ตั้งอยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม โดยมี พระปฐมเจดีย์ ซึ่งเป็นพระเจดีย์ที่ใหญ่และสูงที่สุดในประเทศไทย เป็นศูนย์กลางของวัด วัดแห่งนี้เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกชนิดราชวรมหาวิหาร และเป็นสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนาและประวัติศาสตร์ของไทย --- ประวัติความเป็นมา ยุคแรกเริ่ม พระปฐมเจดีย์เชื่อกันว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งอินเดีย ซึ่งส่งสมณทูตมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิ เมื่อราว พุทธศตวรรษที่ 3-4 เดิมทีเป็น สถูปทรงโอคว่ำ ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าปัจจุบันและได้รับการบูรณะขยายหลายครั้งตลอดประวัติศาสตร์ ยุคทวารวดี ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 11-16 อาณาจักรทวารวดีรุ่งเรืองในภาคกลางของไทย พระปฐมเจดีย์ได้รับการขยายขนาดขึ้นและเป็นศูนย์กลางทางศาสนา มีการค้นพบ พระพิมพ์และโบราณวัตถุ ที่แสดงถึงอิทธิพลของศาสนาพุทธแบบมหายานและเถรวาทในบริเวณนี้ ยุครัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จมานมัสการและพบว่าเจดีย์เดิมถูกปกคลุมด้วยต้นไม้และอยู่ในสภาพทรุดโทรม พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ บูรณะครั้งใหญ่ และสร้างพระเจดีย์ครอบของเดิมเป็น ทรงลังกาสูง 120.45 เมตร ซึ่งเป็นลักษณะที่เห็นในปัจจุบัน งานบูรณะแล้วเสร็จในรัชกาลที่ 5 และได้รับการสืบสานมาจนถึงปัจจุบัน --- โครงสร้างและสถาปัตยกรรม 1. พระปฐมเจดีย์ – เป็นพระเจดีย์ทรงระฆังแบบลังกา มีขนาดใหญ่ที่สุดในไทย ความสูงรวมฐานประมาณ 120.45 เมตร 2. พระอุโบสถ – เป็นที่ประดิษฐาน พระร่วงโรจนฤทธิ์ พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวนครปฐมให้ความเคารพ 3. พระวิหารหลวง – เป็นที่ตั้งของพระพุทธรูปโบราณและใช้ประกอบพิธีสำคัญ 4. วิหารพระร่วงโรจนฤทธิ์ – ตั้งอยู่ด้านหน้าองค์พระปฐมเจดีย์ 5. พิพิธภัณฑ์วัดพระปฐมเจดีย์ – จัดแสดงโบราณวัตถุที่ค้นพบในพื้นที่ --- ความสำคัญทางศาสนาและวัฒนธรรม เป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนาในภาคกลางของไทยมาแต่โบราณ เป็นสถานที่จัดงาน เทศกาลนมัสการองค์พระปฐมเจดีย์ เป็นประจำทุกปีในวันขึ้น 12 ค่ำ เดือน 12 เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและเป็นสถานที่ที่ประชาชนมาสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล วัดพระปฐมเจดีย์จึงเป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และศาสนาที่มีความเก่าแก่และทรงคุณค่าของประเทศไทย

บ้านสุขเกษม 2554 วัดสาลวัน ศาลายา อยู่ริมคลองมหาสวัสดิ์ ตรงข้ามสถานีรถไฟศาลายา อดีตถิ่นกำเนิดลำตัดแม่ประยูรผู้โด่งดังในสมัยหนึ่ง อดีตมีเอกลักษณ์ บ้านทุกหลังในชุมชนทาสีบ้านเป็นสีชมพู เคยเป็นตลาดบ้านไม้เก่า บรรยากาศเงียบสงบ เหมาะแก่พักผ่อนชมวิว ให้อาหารปลา

amorn Tipklin คณะทัวร์จากใต้สู่อีสาน ระหว่างทาง แวะพักที่วัด พักห้องละ 4 คน ห้องน้ำในตัว

ธวัชชัย อารีย์ เป็นพระธาตุเจดีย์ที่สร้างแบบเรียบง่ายสวยงาม เข้าไปภายในปลอดโปร่งสะอาดสะดุดตา น่านั่งสมาธิ สวดมนต์ภาวนา ชั้น 2 มีพระธาตุ ให้ กราบไหว้ขอพร

charat thangwongchuket วัดเรียบง่ายเพิ่งสร้าง ไม่มีเมรุ ไม่มีศาลาสวดพระอภิธรรมศพ ที่จอดรถมีพอสมควร วัดเน้นความโล่งสบาย ไม่มีสถาปัตยกรรมอะไรมากมาย พื้นที่ของวัดไม่ใหญ่มาก ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปอังคีรสเป็นพระประธาน เช่นเดียวกับวัดราชบพิตร ทางเข้าวัดเข้า เข้าทางเดียวกับหมู่บ้านได้ (ทางเข้าวัดอยู่ปากทางเข้าหมู่บ้าน) ถ้ามาตาม gps จะให้เข้าทางคันนา ขับเลยมาหน่อยเลี้ยวเข้าถนนคอนกรีต