4 /5 S M: พระเทพสุทธาจารย์ (โชติ คุณสัมฺปนฺโน) เจ้าอาวาสองค์ปฐมของวัดวชิราลงกรณวราราม เป็นอริยสงฆ์องค์หนึ่งที่ชาว อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ให้ความเคารพนับถือ เป็นพระสายปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ลูกศิษย์ของหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล ถือการปฏิบัติเป็นวัตรสำคัญตลอดชีวิตสมณเพศ
นามเดิมชื่อ “โชติ” ถือกำเนิดเมื่อปี พ.ศ. 2451 เมื่ออายุ 16 ปี มารดาพาไปบวชเรียนกับพระอาจารย์ดุลย์ อตุโต เจ้าอาวาสวัดบูรพาราม ท่านสามารถอ่านหนังสือขอมได้โดยไม่ต้องเรียน ว่ากันว่าเพราะได้เรียนมาแล้วในชาติก่อนทั้งยังจำความต่างๆ ได้เป็นอย่างดี
ครั้นอายุ 20 ปีได้อุปสมบทอยู่จำพรรษากับหลวงปู่ดุลย์ วัดบูรพาราม ต่อมาได้ออกธุดงค์จนมีโอกาสเป็นลูกศิษย์หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล กระทั่งมาเป็นเจ้าอาวาสวัดวชิราลงกรณฯ
เดิมทีวัดวชิราลงกรณฯ เป็นวัดราษฎร์ธรรมดา สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุตนิกาย ซึ่งสร้างขึ้นโดยศรัทธาประชาชน กระทั่งเมื่อวันที่ 12 มี.ค. 2508 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา และโปรดเกล้าฯสถาปนาวัดวชิราลงกรณวราราม ขึ้นเป็นอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ ในพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ เป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฏราชกุมารเมื่อวันที่ 26 ธ.ค 2515
หลวงพ่อโชติ ได้สร้างความเจริญด้วยการพัฒนาวัดและหมู่บ้านนั้นจนรุ่งเรืองอันควรค่าแก่กาลยุคสมัย จวบจนได้รับเลื่อนสมณศักดิ์มาตามลำดับ เริ่มจากพระสมุห์โชติ พระมหาโชติ พระครูคุณสารสัมบัน พระธรรมฐิติญาณ พระราชสุทธาจารย์ และพระเทพสุทธาจารย์
ท่านเป็นพระที่ถือสันโดษ เคร่งครัดในพระธรรมวินัย ปราศจากความโลภ โกรธ หลง และมีกิริยา วาจา ใจ เป็นที่น่าเลื่อมใสยิ่ง ใครได้พบและพูดคุยกับท่านเพียงครั้งเดียว ก็จะเกิดศรัทธาในตัวท่านตลอดไป ด้วย คำพูด คำสั่งสอน และความเมตตากรุณาต่อมวลมนุษย์ แม้แต่นายสัญญา ธรรมศักดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี และพล.อ.กฤษณ์ สีวะรา เมื่อพบหลวงพ่อโชติที่ไหน ก็จะเข้ามากราบที่ตักทุกครั้ง
เป็นที่กล่าวขานกันว่าท่านเป็นพระอาจารย์ที่มีพลังจิตน่ามหัศจรรย์ สามารถระลึกชาติและรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ โดยเมื่อชาติปางก่อนมีนามชื่อ “เล็ง เมืองไทย”กำเนิดเมื่อ พ.ศ. 2406 ณ หมู่บ้านกระทม ต.นาบัว อ.เมืองทิศใต้ จ.สุรินทร์ มีพี่น้องร่วมมารดา 2 คน คนพี่เป็นหญิงชื่อ เหรียญ เมื่ออายุ 16 ปีได้ไปบวชเรียนอยู่กับหลวงน้าฉิมที่วัดนาแห้ว จนมีความรู้แตกฉานในพระพุทธศาสนาและภาษาขอมเป็นอย่างดี ก่อนลาสิกขาบทไปอยู่บ้าน 20 ปี โดยแต่งงานและมีบุตร 3 คน กระทั่งอายุ 45 ปีได้ถึงแก่กรรมแล้วมาเกิดเป็นหลวงพ่อโชติเมื่อปีพ.ศ 2451
หลวงพ่อโชติ จะมีอรรถรสในการพูดที่ทำให้ใครต่อใครสะดุ้ง เพราะทำไม่ดี ยามเงียบท่านจะสำรวมกาย วาจา ใจ เพื่อให้จิตอยู่ในสมาธิตลอดเวลาด้วยความไม่ประมาท การปฏิบัตินั้นจะเคร่งครัดมาก โดยใช้เวลาส่วนมากไปในทางวิปัสสนาเพื่อให้สิ้นซึ่งอาสวะกิเลสทั้งปวง นอกจากนี้ยังชอบในเรื่องการเทศน์เป็นที่สุด โดยจะพยายามให้ญาติโยมแต่ละท้องถิ่นเข้าใจไปด้วย อาทิ เมื่อสวดมนต์กับคนภาคเหนือ ก็จะแปลเป็นภาษาเหนือ สวดมนต์กับคนลาวก็แปลเป็นภาษาลาว สวดกับคนเขมรพอว่าบาลีเสร็จ ก็แปลเป็นเขมรเสียเลยทีเดียว
ที่น่าแปลกก็คือบางครั้งแปลเป็นสองภาษาเลย ถ้าหากญาติโยมมาจากท้องถิ่นที่ต่างกัน เสียงสวดมนต์ของท่านนั้นดังกังวานและไพเราะจับใจ ชาวบ้านใกล้วัดที่ได้ยินเสียงสวดมนต์ทำวัตรดังแต่ตอนตีสี่ มักจะมาร่วมทำวัตรกับพระที่วัดของท่านทุกครั้ง
เรื่องน่าอัศจรรย์ของท่านที่ได้ถูกร่ำลืออย่างมากก็คือ “สามารถชี้พายุดับ” เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์เป็นพระธรรมฐิติญาณ เจ้าคณะธรรมยุต จ.สุรินทร์ ซึ่งต้องออกไปอบรมพระภิกษุในที่ต่างๆ ทั่วจังหวัดเพื่อให้รู้แจ้งเห็นจริงในพระธรรมปรมัตถ์
ขณะที่ท่านกำลังบรรยายธรรมได้เกิดพายุพัดมาอย่างแรงต้นไม้ใบหญ้าราบเป็นหน้ากลอง ก่อนที่จะเคลื่อนตัวมาถึงศาลาวัดที่ท่านยืนบรรยายอยู่ ท่านได้หยุดสอนชั่วขณะ แล้วเอามือชี้เพื่อห้ามพายุนั้น ปรากฏว่าเจ้าพายุร้ายดับสงบลงทันที ท่ามกลางความตะลึงของเหล่าพระภิกษุที่อยู่ในเหตุการณ์ จนกลายเป็นเรื่องเล่าขานบันทึกอยู่ในประวัติของท่านสืบมา
ในด้านวัตถุมงคลท่านไม่ค่อยได้สร้างและปลุกเสก ด้วยถือว่าตราบใดที่ยังไม่สามารถดับกิเลสหมดสิ้นได้ เครื่องรางของขลังก็ยังไม่บริสุทธิ์พอ เป็นที่เสื่อมเสียแก่พระพุทธศาสนา